เมื่อเด็กทารกพ้นจากการปกป้องจากครรภ์มารดาแล้วจะทำให้มีโอกาสที่จะเผชิญกับเชื้อโรคต่างๆ ขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเพิ่มระดับการพัฒนาวัคซีนที่มีรูปแบบ เฉพาะสำหรับทารกแรก เกิด ซึ่งมีอยู่น้อยมากในปัจจุบัน
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่า ในแต่ละปีทารกเกิดใหม่กว่า 1 ล้านคน ต้องเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อที่สามารถป้องกันได้
โดยเฉพาะในแถบเอเชียและแอฟริกา ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันเด็กๆ เหล่านี้คือการ ได้รับวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด เด็กเหล่านี้มีโอกาสได้พบกับแพทย์ตอนแรกเกิด ซึ่งโรคติดเชื้อหลายชนิดเกิดขึ้นในช่วงต้นของชีวิต ถึงแม้ว่าแพทย์จะพบเด็กเหล่านั้นอีกครั้งแต่มันก็อาจจะสายไป
วัคซีนสำหรับทารกแรกเกิดยังคงขาดแคลน สว่ นมากแลว้ วัคซีนพัฒนาขึ้นเพื่อใชกั้บผู้ใหญ่แล้วค่อยปรับมาใช้ในเด็ก ปัจจุบันการพัฒนาวัคซีนสำหรับเด็กทารกแรกเกิดจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำ
ระบบภูมิคุ้ม กันของเด็กทารกค่อนข้างแตกต่างจากผู้ใหญ่และมีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมรวมถึงเชื้อโรคต่างๆ ได้น้อยกว่า ขณะที่ภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งสำคัญในช่วงต้นของชีวิตในการรับมือจากการโจมตีของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่างๆ นั่นหมายความว่าทารกนั้นง่ายต่อการติดเชื้อบางประเภท และไม่สามารถตอบสนองได้ดีต่อวัคซีนที่พัฒนามาสำหรับผู้ใหญ่ มีการศึกษาที่แสดงว่าภูมิคุ้มกันยังลดลงเพียงไม่กี่เดือนหลังจากได้รับวัคซีน
การเพิ่มการพัฒนาวัคซีนสำหรับทารกแรกเกิด คุณ Ofer Levy นักภูมิคุ้มกันวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Harvard และคุณ Guzman Sanchez -Schmitz และผู้ร่วมงาน ได้สร้างแนวทางใหม่ซึ่งสามารถใช้เป็นโมเดลของระบบภูมิคุ้มกันของเด็กแรกเกิด
แรกเริ่มทีมงานได้นำตัวอย่างเลือดมาจากเส้นเลือดดำที่สายสะดือและใช้มันมาเพาะเลี้ยงเป็นเซลล์สองชนิดคือเซลล์ผนังหลอดเลือดและเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทั้งสองเป็นกุญแจสำคัญในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ทีมงานสามารถเพาะเลี้ยงเซลล์เหล่านี้ใน คอลลาเจน แมทริกซ์ซึ่งเป็น สิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อเป็นระบบค้ำจุนทางกายภาพและชีวภาพการทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยหาสภาวะที่เหมาะสมทำให้ได้คอลลาเจนที่สมบูรณ์แบบ ระบบจะเสร็จสมบูรณ์ในพลาสมาของเด็กแรกเกิด หรือ ส่วนประกอบที่เป็นส่วนของเหลวของเลือด
เป็นครั้งแรกของโมเดลระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ ประกอบไปด้วยส่วนประกอบที่มาจากมนุษย์ทั้งสิ้น และยังแสดงผลไปในแนวทางเดียวกันกับระบบภูมิคุม้ กันจริงของเด็กทารก ทีมงานได้เฝ้าดูการเคลื่อนตัวของเม็ดเลือดขาวผ่านผนังหลอดเลือดและเปลี่ยนแปลงเปน็ เซลล์เดนไดรติกซึ่งเป็นเซลล์ที่จดจำสิ่งแปลกปลอมและบอกเป้าหมายให้กับเซลล์อิมมูนอื่นๆ เวลาที่พบเจอโดยบังเอิญกับเชื้อโรคในร่างกาย
ในการทดลองครั้งล่าสุด ทีมงานค้นพบว่ารูปแบบนี้ ตอบสนองต่อวัคซีน BCG สำหรับวัณโรคไปในแนวทางเดียวกับของทารกแรกเกิดในการทดลองทางคลินิก วัคซีน BCG 1 เข็ม ไม่เพียงแต่กระตุ้นเซลล์เดนไดรติก แต่ยังเพิ่มระดับความสามารถในการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดลือดขาวและสร้างโมเลกุลที่สร้างสัญญาณส่งต่อ เหมือนกับที่เกิดในทารกแรกเกิด คุณ Levy กล่าว นอกจากนี้โมเดลนี้ยังสร้างอัตราส่วนของเซลล์ที่เท่ากับของจริงอีกด้วย กล่าวโดยคุณ Guzman Sanchez - Schmitz ผู้นำเสนอผลงานในการประชุมประจำปีของ American Association of Immunologistที่เมือง Boston
นักวิจัยคาดว่าโมเดลนี้จะทำให้เกิดแนวทางที่น่าเชื่อถือที่ใช้ทดสอบวัคซีนก่อนที่จะทดลองใช้ในทารกแรกเกิด เป้าหมายคือการทำการทดลองทางคลินิกในหลอดทดลอง กล่าวโดย คุณ Levy
โมเดลนี้เตรียมที่จะนำไปพัฒนาสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (adjuvants) ตัวใหม่ๆ ที่ใส่ในวัคซีนเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวัคซีน และกำลังพัฒนาโมเดลนี้สำหรับใช้กับ วัคซีน HIV ด้วย
Paul Offit กุมารแพทย์และผู้อำนวยการของศูนย์กลางการศึกษาวัคซีนที่โรงพยาบาลเด็กแห่งเมือง Philadelphia มลรัฐ Pennsylvaniaชี้แจงว่าแม้ว่าโมเดลนี้จะสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน แต่ยังไม่สามารถนำไปแทนที่การศึกษาทางคลินิก มันมีประโยชน์มากในรูปแบบหลอดทดลองเพื่อดูการตอบสนองของภูมิคุ้มกันในทารกแรกเกิด แต่ในท้ายที่สุดวัคซีนต้องมีการทดสอบในสัตว์ทดลองและในทารกแรกเกิดอยู่ดี
ที่มา: Vaccine News โดยบริษัทซาโนฟี่ ปาสเตอร์ จำกัด