เมื่อปี พ.ศ.2500 มีการระบาดของ Asian Flu ในประเทศไทยและระบาดอยู่นาน 6 ปี ขณะนั้นผมเรียนชั้นประถมปีที่ 4 อยู่แถวฝั่งธน โรงเรียนปิดเป็นเดือน ทางราชการประกาศให้อยู่บ้าน ใครป่วยมากให้แจ้งสถานีตำรวจเพื่อเอา “รถหวอ” ไปรับจากบ้านมาโรงพยาบาล จะเห็นว่ามาตรการ Social Distancing (เว้นระยะห่างทางสังคม) ทำมาหกสิบกว่าปีแล้ว และกว่าโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดเอเชียจะสงบใช้เวลาหลายเดือน ในสมัยนั้นยังไม่มียาต้านไวรัส มีแต่ยาแก้ไอและยาแก้ไข้ aspirin (สงสัยอาจมี Reye Syndrome เกิดขึ้น แต่ทางการแพทย์คงไม่ทราบ) ภาพที่ติดตาคือตามถนนหนทางแทบไม่มีรถวิ่ง ผู้คนก็หลบอยู่แต่ในบ้าน ไปซื้อขนมปากซอยต้องรีบไปรีบกลับเพราะกลัวจะติดโรคมาก เรื่อยมาจนกระทั่งปี พ.ศ.2545 เริ่มมีโรค SARS ระบาดมาจากเขตปกครองพิเศษฮ่องกงและลามไปทั่วโลก ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยแค่ไม่กี่ราย ไม่มี local transmission แต่ผู้ป่วยทั่วโลกมีประมาณ 8,000 ราย เสียชีวิตประมาณ 10% แต่แล้วอยู่ดีๆ ก็หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่กำลังต่อสู้กับโรค SARS ใกล้สงบ โรคไข้หวัดนก H5N1 ก็เริ่มระบาดในเวียดนาม ไทยและประเทศอื่นๆ ในปีพ.ศ.2547 ประเทศไทยมีผู้ป่วย H5N1 เพียง 25 ราย เสียชีวิต 18 ราย แต่เป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยมีการเตรียมตัวรับมือการผสมและกลายพันธุ์ของ A/H5N1 กับเชื้อไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกาลกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่อาจจะระบาดจากคนสู่คนอย่างกว้างขวาง จนอาจกลายเป็นไข้หวัดใหญ่ระบาดใหญ่ (Pandemic Flu) ผลจากการเตรียมตัวช่วงที่มี H5N1 จนถึงปัจจุบันได้แผ่อานิสงค์เป็นรูปแบบในการเตรียมความพร้อมเพื่อควบคุมการระบาดไข้หวัดนก H5N1, ไข้หวัดใหญ่ 2009, MERS CoV, Ebola และล่าสุดคือ COVID-19
ปลายเดือนธันวาคม 2562 พวกเราที่ทำงานด้านโรคติดเชื้อได้ข่าวจากประเทศจีนว่ามีผู้ป่วยปอดอักเสบเป็นกลุ่มก้อนเกิดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น แต่ยังไม่กังวลเพราะจีนตอนนี้ก้าวไกลมากและ Wuhan เป็นเมืองที่มี Lab Microbiology ที่ดีระดับ 1 ใน 5 ของจีน วันที่ 3 มกราคม 2563 ไทยเราก็ยกระดับการคัดกรองที่สนามบินทันที เพราะเดือนหนึ่งๆ มีคนจีนมาเที่ยวไทยประมาณ 1 ล้านคน (แต่ละคนใช้จ่ายประมาณ 5-7 หมื่นบาท) และแล้ววันที่ 13 มกราคม 2563 ไทยก็รายงานผู้ป่วย COVID-19 รายแรก (และเป็นรายแรกของ COVID-19 นอกประเทศจีน) หลังจากนั้นเราเพิ่มมาตรการในการตรวจจับ “การแพร่กระจายเชื้อ” มากขึ้น (มาตรการของจีนในการต่อสู้ขณะนั้นคือ “ลดการตาย”) การดำเนินงานโดยภาพรวมของภาครัฐและกระทรวงสาธารณสุขอาจจะไม่ถูกใจชาวบ้าน แต่ผมเข้าใจดีว่าชาวบ้านอยากเห็นโรคสงบโดยเร็ววัน แต่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว แถมยังระบาดกว้างไกลไปทั่วประเทศและระบาดไปเกือบทุกประเทศทั่วโลก ทุกประเทศต้องพึ่งพาตัวเอง ต้องใช้มาตรการต่างๆ จากความเห็นของตนเองร่วมกับข้อมูลจากประเทศอื่นๆ ผมเองไม่เคยเห็นโรคระบาดใดๆ ในชีวิตการทำงานของผมที่กระจายกว้างไกลเท่า COVID-19 เลย และก่อผลกระทบต่อชีวิตจิตใจเหลือคณานับ สถานการณ์ COVID-19 ในประเทศอิตาลี เป็นภาพที่แสนจะหดหู่ใจ เมื่อแพทย์จำเป็นต้องเลือกว่าผู้ป่วยคนใดสมควรอยู่หรือสมควรไป แพทย์หลายคนมีความกดดันมากต้องตัดสินใจทั้งน้ำตาเพื่อทำในสิ่งที่เหมาะสมและคุ้มค่าทั้งๆ ที่ผิดจริยธรรมทางการแพทย์แต่จำเป็นต้องทำ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองให้ประเทศไทยอยู่รอดปลอดภัย ซึ่งพวกเรายินดีสละแรงกายแรงใจในสิ่งที่เรามีและร่ำเรียนมาเพื่อคนไข้และเพื่อประเทศที่เรารัก ขอให้ทุกท่านและครอบครัวปลอดภัย ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้ประเทศปลอดภัยและผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยดี